มรดกคุณแม่บุญเรือน

สมเด็จรุ่นนี้แหละที่ทำให้ชื่อเสียงของหลวงพ่อพรหมเป็นที่รู้จักและโด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ครับ สาเหตุที่ได้รับนามว่า รุ่นฟ้าผ่า เพราะว่า..เมื่อหลวงพ่อปลุกเสกพระรุ่นนี้เสร็จ เตรียมนำพระไปเก็บ คุณสมพงษ์เป็นกรรมการที่สร้างพระรุ่นนี้ด้วย ถือโอกาสหยิบพระมาองค์หนึ่ง แล้วยกมือไหว้ขอหลวงพ่อต่อหน้า แล้วก็เก็บใส่กระเป๋าเสื้อเดินลงมาจากศาลาจะไปที่โรงเรียนประชาบาล เพื่อไปเอาไฟฟ้ามาใช้งานที่วัด ขณะที่เดินไปฝนตกพร่ำๆขากลับคุณสมพงษ์เอาสายไฟฟ้าคล้องไหล่เดินมากลางสนามฟุตบอล เกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้น.......คือฟ้าได้ผ่าลงมาที่ตัวคุณสมพงษ์ คุณสมพงษ์ลงฟุบแน่นิ่งกลางสนามฟุตบอล บรรดาลูกศิษย์ที่เห็นเหตุการณ์ ได้วิ่งเข้าไปช่วยเหลือ หามเข้ามาวางไว้ต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านบอกว่า.ไม่เป็นไร แล้วท่านก็เอาน้ำมนต์มาประพรหมและราด สักครู่ใหญ่คุณสมพงษ์ก้ฟื้นคืนสติ ตามร่างกายไม่มีบาดแผล จึงได้ชื่อรุ่นว่า....ฟ้าผ่า.... พระรุ่นนี้หลวงพ่อพรหมปลุกเสกปลายปี ๒๕๑๒ แจกในงานยกช่อฟ้ามณฑปวัดช่องแค จำนวนการจัดสร้างประมาณ ๑๐๐๐๐ องค์ ลักษณะองค์พระ...พระเนื้อผงรูปสี่เหลี่ยม ด้านหน้ามีรูปหลวงพ่อหรหมนั่งสมาธิบนฐานบัว ด้านล่างรองรับด้วยฐาน ๓ ชั้น มีเส้นซุ้มครอบแก้ว อง๕พระมีความกว้างประมาณ ๒ ซ.ม. สูงประมาณ ๓ ซ.ม. ด้านหลังมีรอยปาดเรียบ บางองค์ประทับหมึกยันต์ ๕ เนื้อพระมีส่วนผสมของปูนเปลือกหอย กล้วยน้ำว้า ผงดอกไม้แห้ง ผงว่าน ชานหมากหลวงพ่อพรหม เนื้อหมากตากแห้ง น้ำมนต์ น้ำมันตังอิ๋ว และผงวิเศษที่หลวงพ่อพรหมปลุกเสก มี ๓ สีด้วยกันคือ สีขาวขุ่นอมน้ำตาล(เนื้อขาว) สีน้ำตาลปนแดง(สีแดง) สีเขียว(เนื้อเขียว เกิดจากการผสมสีลงในเนื้อ) องค์นี้สีน้ำตาลเข้ม วิธีการปลุกเสกวัตถุมงคลของหลวงพ่อพรหมแปลกแหวกแนวไม่เหมือนที่อื่น การปลุกเสกวัตถุมงคลที่อื่นๆโดยทั่วไปจะใช้ด้ายสายสิญจน์เป็นสื่อ คนปลุกเสกหลับตาภาวนา แต่หลวงพ่อพรหมท่านไม่ใช้ด้ายสายสิญจน์ ท่านเอามือสองข้างจับที่วัตถุมงคลจะปลุกเสกลืมตาเพ่งกระแสจิตอัดลงไปให้เห็นกันชัดๆ ขั้นตอนกรรมวิธีปลุกเสกของท่านคือ.......ลำดับแรกท่านจะจุดเทียนชัยที่ขันน้ำมนต์ก่อน เสกน้ำพระพุทธมนต์ หลังจากนั้นเอาเทียนลงธาตุไฟ ถอดรังสีออกมาเป็นปัทมโชติ วนรอบพระที่จะปลุกเสก ๙ รอบ ๙ หน เราจึงมักจะพบพระหรือเหรียญบางองค์มีน้ำตาเทียนหยดติดอยู่เกิดขึ้นตอนนี้เอง......ลำดับต่อมาจึงหยิบแป้งมาเสก เอาแป้งที่เสกแล้วนี้มาเจิมองค์พระหรือวัตถุมงคล ลงอาการ ๓๒ แล้วจึงทำพิธีเบิกพระเนตรองค์พระเพื่อจะได้เป็นพุทธปฏิมากร เรียกว่าถอดธาตุ ถอดอารมณ์ ลงธาตุดิน.........ลำดับต่อมาจึงเอาน้ำพุทธมนต์ที่เสกไว้ประพรหมที่วัตถุมงคลทั้งหลาย พร้อมทั้งลงธาตุน้ำ ถอดรังสีออกมาเป็นแก้วไพทูรย์สีเหลือง(วรรณกสิณของหลวงพ่อที่สำเร็จด้วยอภิญญาจิต)............ลำดับต่อมา เป็นการลงธาตุลม หลวงพ่อจะเอามือสองข้างมาจับแตะที่ถาดใส่พระหรือกล่องใส่วัตถุมงคล ถอดรังสีออกมาเป็นแก้วมณีโชติ พร้อมกับส่งกระแสจิตปราณอัดพลังประจุไปที่วัตถุมงคล ระหว่างปลุกเสกลืมตาอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้สมาธิที่แน่วแน่มาก จนกระทั้งมองเห็นวัตถุมงคลที่ถูกปลุกเสกมีรังสีพวยพุ่งออกมาจึงจะหยุดพัก เปรียบเสมือนประจุไฟฟ้าเต็มหม้อแล้ว.............หลังจากนั้นจึงเอาน้ำพระพุทธมนต์ประพรหมและคว่ำขันราดรดวัตถุมงคลที่ปลุกเสกเป็นอันเสร็จพิธี ในการปลุกเสกวัตถุมงคลในวันนั้นเรียกว่า..รอบหนึ่ง......หรือปลุกเสกธรรมดา สมมติว่าถ้าหลวงพ่อปลุกเสก ๕ ครั้ง ก็หมายความว่า ท่านจะต้องทำพิธีกรรมต่างๆอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ๕ เที่ยว ๕ หน โดยทั่วไปแล้วท่านจะปลุกเสกธรรมดาให้รอบเดียว ยกเว้นวัตถุมงคลบางรุ่นที่คณะกรรมการผู้สร้างขอร้องให้ท่านช่วยปลุกเสกให้หลายๆรอบ ท่านจึงจะทำให้เป็นกรณีพิเศษนานๆจะมีสักครั้งหนึ่ง ขนาดปลุกเสกธรรมดารอบเดียวก็พูดได้ว่า.......เหลือรับประทานแล้วครับ หลวงพ่อพรหมท่านมักพูดเปรยๆให้ศิษย์ผู้ใกล้ชิดฟังอยู่เสมอว่า..........วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกแล้ว คนที่มีตาทิพย์จะเห็นรังสีพวยพุ่งออกมาเป็นรัศมีกว้างไกล.......ข้าฯลงให้หมดทุกอย่าง มหาอุตม์ ยิงไม่ออก คงกระพันฟันไม่เข้า เมตตามหานิยม ซื้อง่ายขายคล่อง ลงไม่ได้อยู่อย่างหนึ่ง คือ กันคนอิจฉาริษยาไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีคาถาห้ามปากคน......